ท่านที่ ขับรถนานๆ เช่น ไปต่างจังหวัดไกลๆ หรือรถติดนานๆ แล้วมีอาการปวดหลัง ปวดเมื่อยทั้งตัว อาจจะไม่ได้เกิดจากการขับรถนานเสมอไป แต่อาจจะเป็นเพราะวิธีนั่ง ซึ่งท่านั่งขับรถ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ พราะหากนั่งผิดท่า หรือปรับเบาะนั่งไม่เหมาะสมกับสรีระ อาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า ปวดหลัง ไปจนถึงปวดเมื่อยช่วงต้นขาและแขน ซึ่งหากปล่อยไปนานๆ อาจส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม หรือมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ปรับท่านั่งอย่างไรไม่ให้ปวดหลัง?
1. นั่งให้เต็มเบาะ
เพื่อการนั่งขับรถที่เหมาะสม ควรนั่งให้เต็มเบาะ โดยขยับแผ่นหลัง สะโพก และต้นขาให้ชิดเบาะด้านในมากที่สุด เพื่อที่เบาะรถจะได้โอบรับสรีระทุกส่วนของร่างกาย และเพื่อความมั่นคงในการขับขี่ และลดอาการปวดเมื่อย
2. ปรับระยะห่างเบาะ
ปรับระยะห่างของเบาะนั่งให้พอดี ไม่ชิดหรือไกลพวงมาลัยมากเกินไป โดยใช้วิธีสอดเท้าไปที่พื้นรถหลังแป้นเบรก จากนั้นปรับเบาะให้สามารถงอเข่าได้เล็กน้อย เพื่อให้เหยียบเบรกและคันเร่งได้เต็มที่ ทั้งยังช่วยลดการบาดเจ็บ หากเกิดการชนจากด้านหน้า
3. ปรับความสูงของเบาะ
ความสูงของเบาะก็สำคัญ เพราะมีผลต่อแผ่นหลังของโดยตรง หากปรับความสูงของเบาะต่ำไปจะทำให้นั่งตัวงอ ส่งผลต่อกระดูกสันหลังและทำให้ปวดหลังได้ จึงควรปรับความสูงของเบาะรถให้เหลือระยะห่างระหว่างศีรษะกับเพดานรถเท่ากับหนึ่งกำปั้น พร้อมกับยกปลายเบาะให้เงยขึ้นเล็กน้อย จะช่วยให้มองเห็นทัศนวิสัยได้ชัดเจน และควบคุมรถได้ง่าย
4. เอนพนักพิงเล็กน้อย
การปรับเบาะให้พอดีกับแผ่นหลัง ช่วยลดอาการปวดหลังได้ โดยควรปรับพนักพิงให้เอนเล็กน้อย ประมาณ 110 องศา หรือสามารถนำมือไปวางบนพวงมาลัยได้ถนัด แขนไม่เกร็งเกินไป เพื่อให้มีระยะห่างจากพวงมาลัยที่เหมาะสม ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถปรับหัวเบาะให้พอดีกับศีรษะ หรือใช้หมอนรองคอเสริม ไม่เพียงแต่จะลดอาการปวดเมื่อยต้นคอแล้ว ยังช่วยลดแรงกระแทกจากอุบัติเหตุอีกด้วย
5. ปรับมุมจับพวงมาลัยให้อยู่ในตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา
การจับพวงมาลัยในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมก็อาจทำให้ปวดหลังขณะขับรถได้ ดังนั้น ควรปรับพวงมาลัยให้พอดี มีความสูงไม่เกินช่วงไหล่ และปรับมุมจับพวงมาลัยให้อยู่ในตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา จะช่วยให้หมุนพวงมาลัยได้รวดเร็ว พวงมาลัยหลุดมือยาก และลดการปวดเมื่อยช่วงหัวไหล่ นอกจากนี้ควรดูช่วงงอของแขนให้อยู่ในมุมที่เหมาะสม สามารถวางข้อมือบนพวงมาลัยได้พอดีโดยที่ตัวยังแนบอยู่กับเบาะหรือเปล่า ไม่ควรเหยียดแขนตึงเกินไป และไม่งอแขนจนเกินไป จะทำให้หมุนพวงมาลัยไม่ถนัด
6. ปรับกระจกมองข้างและกระจกมองหลัง
กระจกมองข้างและกระจกมองหลังก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากต้องเอี้ยวตัว หรือเอียงศีรษะหันไปมา อาจทำให้ปวดเมื่อยได้ ดังนั้นเราจึงต้องปรับกระจกมองข้างและกระจกมองหลังให้ชัดเจน โดยกระจกข้างควรตั้งฉากกับตัวรถ อย่าให้เห็นตัวรถมากเกินไป จะทำให้ไม่เห็นรถคันอื่น ส่วนกระจกมองหลังปรับแบบตรงๆ ให้พอดีกับสายตาเวลาขับรถ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้มองกระจกได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องขยับตัวบ่อยๆ นอกจากจะลดอาการปวดคอ และปวดหลังแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่อีกด้วย
การปรับท่านั่งทั้งหมด จะทำให้ผู้ขับสามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้นในทุกสถานการณ์ ช่วยลดอาการเมื่อยล้าตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลดความเครียดในขณะขับขี่ และถ้ายังมีอาการเมื่อยล้า ปวดหลังอยู่ ก็สามารถใช้วิธีนวดคลายกล้ามเนื้อ หรือประคบอุ่นบริเวณที่ปวดเพื่อคลายเส้น หรือเลือกใช้เครื่องนวดหลัง breo รุ่น iBack2 ที่มีหัวนวดแบบการกดแบบชิอัตสึแบบญี่ปุ่นช่วยการไหลเวียนของพลังชีวิตในร่างกาย กระตุ้นพลังงานของร่างกาย ให้สามารถบรรเทา ฟื้นฟู และเยียวยาตัวเอง ออกแบบหัวนวดอย่างพิถีพิถันให้มีความยืดหยุ่นไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บในขณะนวดให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อยอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนวดใช้ได้ทั้ง หลังส่วนบน หลังส่วนล่าง คอ น่อง
และระบบประคบอุ่นอุณหภูมิคงที่ โดยระบบประคบอุ่นอย่างต่อเนื่องจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ให้คุณได้ประสบการณ์การพักผ่อนที่เข้าถึงภายในร่างกายอย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก