หลายคนที่ต้องขับรถเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานที่ต้องเดินทางไกล คนขับแท็กซี่ หรือผู้ที่ชอบขับรถท่องเที่ยว มักประสบปัญหาอาการปวดหลังจากการขับรถ บางคนถึงขั้นทนไม่ไหวต้องจอดพักข้างทางบ่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียเวลาแล้ว ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว วันนี้เรามีวิธีแก้ปวดหลังขณะขับรถมาฝากกัน
การขับรถนานปวดหลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนขับรถทุกเพศทุกวัย สาเหตุหลักมาจากการนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ การนั่งขับรถในท่าที่ไม่ถูกต้อง เบาะนั่งที่ไม่เหมาะสม หรือการปรับตั้งพวงมาลัยผิดตำแหน่ง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังขณะขับรถได้ทั้งสิ้น หากปล่อยไว้นาน อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้นได้
สำหรับคนที่มีปัญหาขับรถแล้วปวดหลัง เรามีวิธีบรรเทาอาการที่ทำได้ง่าย ปลอดภัย และได้ผลจริง มาฝากกัน
การจัดท่านั่งที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันอาการขับรถแล้วปวดหลัง ควรปรับเบาะนั่งให้หลังตรง ระยะห่างจากพวงมาลัยพอเหมาะ ไม่ต้องเอื้อมหรือก้มมากเกินไป โดยควรนั่งให้สะโพกชิดกับพนักพิงด้านหลังมากที่สุด หลังส่วนล่างแนบกับเบาะ ช่วงคอตรง ทำมุมประมาณ 15 องศากับระดับของพนักพิง และวางเท้าบนแป้นเหยียบอย่างสบาย ๆ การนั่งในลักษณะนี้จะช่วยกระจายน้ำหนักตัวได้อย่างสมดุล ลดแรงกดทับที่กล้ามเนื้อหลัง
การใช้อุปกรณ์รองหลังอย่างหมอนรองหลังหรือที่พิงเอวจะช่วยรักษาแนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ลดความตึงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง
ปัจจุบันมีนวัตกรรมที่นวดหลังที่สามารถใช้รองหลังขณะขับรถได้อย่างสะดวกสบาย อย่างเช่น ที่นวดหลัง breo รุ่น New Back2 ที่ผสานเทคนิคการนวดตามหลักการแพทย์แผนจีน ออกแบบให้มีส่วนโค้งรองรับสรีระร่างกายได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถเข้าถึงกล้ามเนื้ออย่างล้ำลึกเหมือนการนวดด้วยมือ พร้อมระบบประคบอุ่นปรับได้ 2 ระดับ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ตัวเครื่องมีแบตเตอรี่ลิเธียมในตัว ไม่ต้องเสียบปลั๊กขณะใช้งาน พกพาไปได้ทุกที่ ใช้งานได้ทุกเวลา
นอกจากนี้ยังมี ที่นวดหลัง breo รุ่น Back M1 ที่นำเสนอการนวดแบบชิอัตสึตามศาสตร์การนวดโบราณของญี่ปุ่น มาพร้อมหัวนวด 4 จุดที่ออกแบบให้นูนกระชับ ครอบคลุมบริเวณกว้าง สามารถเข้าถึงกล้ามเนื้อได้อย่างทั่วถึง ให้ความรู้สึกเสมือนนวดด้วยมือมนุษย์ ขนาดกะทัดรัดเหมาะสำหรับใช้ในรถยนต์
การขับรถนานปวดหลังสามารถบรรเทาได้ด้วยการหยุดพักเป็นระยะ โดยควรจอดพักทุก 2-3 ชั่วโมง หรือเมื่อรู้สึกเมื่อยล้า ระหว่างพักควรลงจากรถเพื่อยืดเหยียดร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลังและขา ท่าที่แนะนำ เช่น การก้มแตะปลายเท้า การบิดลำตัว การยืนเขย่งปลายเท้า หรือการเดินรอบ ๆ รถ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดความตึงของกล้ามเนื้อ และป้องกันอาการปวดหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อุณหภูมิในรถมีผลต่ออาการปวดหลังขณะขับรถมากกว่าที่คิด อากาศที่เย็นเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อเกร็งและเมื่อยล้าได้ง่าย ในขณะที่อากาศร้อนอบอ้าวก็ทำให้รู้สึกอึดอัด เหนื่อยล้า และปวดเมื่อยได้เช่นกัน ควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการเปิดแอร์แรงเกินไปหรือให้ลมเย็นปะทะร่างกายโดยตรง เพื่อป้องกันการเกร็งของกล้ามเนื้อที่อาจนำไปสู่อาการปวดหลัง
การปรับมุมพวงมาลัยให้เหมาะสมเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดอาการปวดหลังจากการขับรถได้ ตำแหน่งพวงมาลัยที่ดีควรอยู่ในระดับที่มือทั้งสองข้างจับได้สบาย ไม่ต้องยกไหล่หรือก้มตัวมากเกินไป โดยควรปรับให้แขนงอเล็กน้อยขณะจับพวงมาลัย ระยะห่างระหว่างหน้าอกกับพวงมาลัยควรอยู่ที่ประมาณ 25-30 เซนติเมตร เมื่อจับพวงมาลัยช่วงแขนจะทำมุม 90-115 องศา ไม่ควรเกินกว่า 120 องศา การจัดท่าทางแบบนี้จะช่วยให้การขับขี่สบายตัว ลดความเครียดที่กล้ามเนื้อหลังและไหล่
เมื่อขับรถแล้วปวดหลัง การประคบร้อนหรือเย็นสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ทันที โดยการประคบเย็นเหมาะสำหรับอาการปวดเฉียบพลันหรือเพิ่งเริ่มปวด จะช่วยลดการอักเสบและบวมของกล้ามเนื้อ ส่วนการประคบร้อนเหมาะกับอาการปวดเรื้อรังหรือปวดต่อเนื่อง จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด สามารถใช้แผ่นประคบสำเร็จรูปที่พกพาสะดวก หรือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหรือเย็นประคบก็ได้
อาการขับรถนานปวดหลังเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันและแก้ไขได้ การจัดท่านั่งที่ถูกต้อง การใช้อุปกรณ์รองหลังที่เหมาะสม การพักยืดเหยียดร่างกายเป็นระยะ รวมถึงการดูแลสภาพแวดล้อมในรถให้เหมาะสม ล้วนเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถขับรถได้อย่างสบายตัว ไม่ต้องทนทรมานกับอาการปวดหลังอีกต่อไป